"โครงสร้างโลก"
โลกถือกำเนิดมาแล้ว4,600ล้านปี นักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยุคโบราณทราบดีว่า
ภายในของโลกนั้นร้อนระอุและเปี่ยมด้วยแรงดันมหาศาล
ซึ่งทำให้เกิดปรากฏารณ์ธรรมชาติต่างๆ เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว พุน้ำร้อน
เป็นต้น
โดยเมื่อ300ปีที่ผ่านมาหรือในปลายคริสต์ศตวรรตที่ 19 เซอร์ไอเแซค นิวตัน ได้คำนวณมวลของโลกโดยใช้กฏแรงโน้มถ่วงสากล
F = GmM/r2 พบว่า
ความหนาแน่นเฉลี่ยของโลกมีมากกว่า ความหนาแน่นของหินบนเปลือกโลก 2 เท่า
ต่อมานักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศรัสเซียพยายามศึกษาโครงสร้างของโลก
โดยสร้างแท่นขุดเจาะที่คาบสมุทรโคลาร์ ทำการขุดเจาะลงไปได้ความลึกมากที่สุด 12.3
กิโลเมตร แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง 19 ปี ดังนั้นจะเห็นว่า
การศึกษาภายในของโลกทางตรงแทบเป็นไปไม่ได้เลย
การศึกษาโครงสร้างโลก
นักธรณีวิทยาศึกษาโครงสร้างภายในของโลกโดยอาศัยคลื่นที่เกิดจากแผ่นดินไหว
และจำแนกโครงสร้างโลกเป็นสองระบบ คือ การแบ่งโครงสร้างตามลักษณะทางกายภาพ และ การแบ่งโครงสร้างตามองค์ประกอบทางเคมี
- การแบ่งโครงสร้างโลกตามลักษณะกายภาพ
การแบ่งโครงสร้างโลกตามลักษณะทางกายภาพเป็นการศึกษาโลกทางอ้อม โดยจะศึกษาจากคลื่นไหวสะเทือน การวัดค่าแรงโน้มถ่วง เป็นต้น
คลื่นไหวสะเทือน(Seismic wave) มี 2 แบบ คือ คลื่นพื้นผิว(Surface wave)และคลื่นในตัวกลาง(Body wave) คลื่นพื้นผิวเดินทางผ่านเข้าไปภายในของโลกทำให้อาคารทรุด ชำรุด แลังพังทลาย ส่วนคลื่นในตัวกลางสามารถเดินทางผ่านเข้าไปภายในของโลกไปยังพื้นโลกฝั่งตรงข้ามได้ นักธรณีวิทยาจึงเลือกBody waveในการสำรวจ คลื่นในตัวกลางมี 2 ประเภท คือ คลื่นปฐมภูมิ (P wave) และ คลื่นทุติยภูมิ (S wave)
- คลื่นปฐมภูมิ (P wave) เป็นคลื่นตามยาวโดยอนุภาคของตัวกลางเคลื่อนไหวแบบอัดขยายในแนวเดียวกับที่คลื่นส่งผ่าน คลื่นนี้สามารถเคลื่อนที่ผ่านของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยมีความเร็วประมาณ 6 – 7 กิโลเมตร/วินาที คลื่นปฐมภูมิทำให้เกิดการอัดหรือขยายตัวของชั้นหิน
- คลื่นทุติยภูมิ(S wave) เป็นคลื่นตามขวางโดยอนุภาคของตัวกลางเคลื่อนไหวตั้งฉากกับทิศทางที่คลื่นผ่าน มีทั้งแนวตั้งและแนวนอน คลื่นชนิดนี้ผ่านได้เฉพาะของแข็งเท่านั้น โดยมีความเร็วประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร/วินาที คลื่นทุติยภูมิทำให้ชั้นหินเกิดการคดโค้ง
เขตอับคลื่น(Shadow zone) ของ P wave จะอยู่ที่มุม105องศา ถึง มุม140องศา ส่วนS waveเนื่องจากS waveผ่านได้แค่ของแข็งเท่านั้นคลื่นจึงมีแค่ซีกโลกที่เป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นเท่านั้น
นักธรณีวิทยาแบ่งโครงสร้างภายในของโลกเป็น 5 ส่วนโดยพิจารณาจากความเร็วของคลื่น P wave และ S wave ดังนี้
1. ธรณีภาค(Lithosphere)
ประกอบด้วยเปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร คลื่น P wave และ S wave เคลื่อนที่ช้าลงจนถึงแนวแบ่งเขตMohorovicic Discontinuity
2. ฐานธรณีภาค(Asthenosphere)
อยู่ใต้แนวแบ่งเขตMohorovicic Discontinuityลงไป เป็นบริเวณที่คลื่นมีความเร็วเพิ่มขึ้นตามระดับความลึก โดยแบ่งเป็น 2 เขต ดังนี้
อยู่ใต้แนวแบ่งเขตMohorovicic Discontinuityลงไป เป็นบริเวณที่คลื่นมีความเร็วเพิ่มขึ้นตามระดับความลึก โดยแบ่งเป็น 2 เขต ดังนี้
คลื่นมีความเร็วต่ำ(Low velocity zone) P wave และ S wave มีความเร็วเพิ่มขึ้นไม่คงที่ เพราะบริเวณนี้เป็นของแข็งเนื้ออ่อน อุณหภูมิสูงละลายแร่ธาตุเกิดแมกมา
เขตที่มีการเปลี่ยนแปลง(Transition zone) อยู่บริเวณเนื้อโลกตอนบน P wave และ S wave มีความเร็วเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นบริเวรำที่มีการเปลื่ยนแปลงของแร่
เขตที่มีการเปลี่ยนแปลง(Transition zone) อยู่บริเวณเนื้อโลกตอนบน P wave และ S wave มีความเร็วเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นบริเวรำที่มีการเปลื่ยนแปลงของแร่
3.Mesosphere
อยู่บริเวณเนื้อโลกชั้นล่าง
เป็นบริเวณที่คลื่นมีความเร็วสม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นของแข็ง
4.แก่นโลกชั้นนอก(outer core)
P waveลดลงฉับพลัน และS waveไม่ปรากฏ เนื่องจากชั้นนี้เป็นชั้นที่มีเหล็กหลอมละลาย
5.แก่นโลกชั้นใน(Inner core)
จุดศูนย์กลางของโลก
P wave มีความเร็วมากขึ้น
เพราะแรงกดดันภายในทำให้เหล็กและนิกเกิลเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง
***เขตMohorovicic Discontinuity
คือ แนวแบ่งเขตระหว่างเปลือกโลก
(Crust) และ เนื้อโลกชั้นบนสุด (Uppermost mantle) เรียกสั้นๆ ว่า โมโฮ (Moho)
ชื่อนี้ตั้งขึ้นเป็นเกียรติให้แก่นักธรณีวิทยาชาวยูโกสลาเวีย
แอนดริจา โมโฮโลวิคซิค (Andrija Mohorovicic) เมื่อปี ค.ศ.1909 ผู้ค้นพบว่า
คลื่นไหวสะเทือนจะมีความเร็วเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่เขตเนื้อโลก เนื่องจากความหนาแน่นของวัสดุมากขึ้น
2.การแบ่งโครงสร้างตามองค์ประกอบทางเคมี
1.เปลือกโลก(Crust)
เป็นผิวโลกชั้นนอกประกอบด้วยเปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร
เปลือกโลกทวีป
(Continental crust) ส่วนใหญ่เป็นหินแกรนิตมีความหนาเฉลี่ย
35 กิโลเมตร ความหนาแน่น 2.7
กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
เปลือกโลกมหาสมุทร
(Oceanic
crust) ส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลต์
ความหนาเฉลี่ย
5 กิโลเมตร ความหนาแน่น 3 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
**เมื่อเปลือกโลกทั้งสองชนกัน
เปลือกโลกทวีปจะถูกยกตัวขึ้น ส่วนเปลือกโลกมหาสมุทรจะจมลง
และหลอมละลายเป็นแมกมาอีกครั้ง
2.เนื้อโลก (Mantle)
แบ่งออกป็น
3 ชั้น ได้แก่
เนื้อโลกตอนบนสุด
(Uppermost
sphere) มีสถานะเป็นของแข็ง
อยู่ใต้แนวแบ่งเขตMohorovicic Discontinuity มีความหนาโดยรวมประมาณ
30 - 100 กิโลเมตร เรียกโดยรวมว่า
ธรณีภาค (Lithosphere)
เนื้อโลกตอนบน
(Upper
mantle) หรือ ฐานธรณีภาค
(Asthenosphere)
อยู่ที่ระดับลึก 100 - 700 กิโลเมตร มีMagma เคลื่อนที่หมุนวนด้วยการพาความร้อน(Convection)
เนื้อโลกตอนล่าง
(Lower
mantle) มีสถานะเป็นของแข็ง
3.แก่นโลก
(Core)
คือส่วนที่อยู่ใจกลางของโลก
มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็ก แบ่งออกเป็น 2 ชั้น
แก่นโลกชั้นนอก
(Outer
core) เป็นเหล็กในสถานะของเหลวเคลื่อนที่หมุนวนด้วยการพาความร้อน
Convectionทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก
แก่นโลกชั้นใน
(Inner
core) เหล็กมีสถานะเป็นของแข็ง
แร่ต่างๆของทั้ง 3 ชั้น
เปรียบเทียบระหว่างการแบ่งโครงสร้างตามลักษณะทางกายภาพ
และการแบ่งโครงสร้างตามองค์ประกอบทางเคมี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น